“การจัดการการผลิต” ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายกว้างและไม่ชัดเจนหนัก แท้จริงแล้วเป็นกิจกรรมประเภทใดกันแน่
ในบทนี้จะอธิบายโดยยกตัวอย่างจากชีวิตประจำวัน เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ
มาทำความเข้าใจกันเกี่ยวกับการจัดการการผลิตในภาพรวมกันเถอะ

1. “การผลิต” ในคำว่าการจัดการการผลิตหมายถึงอะไร?
อย่าสับสนนะ!
“การสร้าง” เป็นส่วนหนึ่งของ “การผลิต” การจัดการการผลิตต้องอ้างถึงกิจกรรมทั้งหมดที่จะทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ขึ้นมา
“การผลิต” และ “การสร้าง” คือคำที่มักใช้ในแวดวงอุตสาหกรรมการผลิต แม้ว่าจะคล้ายกัน ซึ่งจะมีความหมายใกล้เคียงกัน
แต่จริงๆ แล้วมีความหมายที่แตกต่างกันอยู่บ้าง การเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้จะช่วยให้คุณมองเห็นขอบเขตของ
“การจัดการการผลิต” ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ความหมายของ “การผลิต”
ประการแรก “การผลิต” บ่งชี้ถึงกิจกรรมทั้งหมดที่ทำให้เกิดสิ่งของ (ผลิตภัณฑ์) และบริการขึ้นมา
กล่าวคือ การเปลี่ยนสภาพวัตถุดิบหรือทรัพยากรให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า
นอกจากผลิตภัณฑ์แล้ว “การผลิต” ยังรวมถึงการให้บริการด้วย เช่น การดูแลหลังการขาย การขนส่งสินค้า ฯลฯ
ที่มีความร่วมอยู่ในกิจกรรมโดยกว้าง ๆ ขององค์กรที่ผลิตเช่นกัน
ความหมายของ “การสร้าง”
ในทางกลับกัน “การสร้าง” จะหมายถึงกระบวนการทางกายภาพที่ใช้วัตถุดิบเพื่อผลิตเป็นสิ่งของหนึ่งชิ้นหนึ่งงาน
(ผลิตภัณฑ์) ตัวอย่างเช่น การแปรรูปในโรงงานเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ เรียกว่า “การสร้าง” ต่างจาก
“การผลิต” ที่มีความหมายกว้างกว่าครอบคลุมทั้งกิจกรรมทางการผลิตทั้งหมด
เหตุผลที่คำว่า “การผลิต” ครอบคลุมมากกว่า “การสร้าง”
เหตุใดจึงมีคำว่า “การผลิต” ในอุตสาหกรรมการผลิต แม้ว่างานอุตสาหกรรมการผลิตจะมุ่งเน้นไปที่การสร้างของจริง
(ผลิตภัณฑ์) ก็ตาม
นั่นก็เพราะ “การจัดการการผลิต” ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การสร้าง แต่รวมถึงกิจกรรมที่กว้างกว่า
“การจัดการการสร้าง” สำหรับประเด็นนี้เป็นเหตุผลยิงยาวไปในการทำความเข้าใจต่อไป
ในอุตสาหกรรมการผลิตกิจกรรมมากมายเกี่ยวข้องกับการสร้าง ไม่ว่าจะข้อเกี่ยวกับการสร้างผลิตภัณฑ์
ตั้งแต่การออกแบบ การจัดหา การบริหารคุณภาพ และโลจิสติกส์ ตัวอย่างเช่น การควบคุมคุณภาพของการผลิต
การวางแผนการจัดซื้อ และการขนส่งทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับ “การผลิต” แม้จะไม่ใช่การสร้างโดยตรง
การเข้าใจภาพรวมนี้จะทำให้คุณตระหนักถึงความสำคัญของโลจิสติกส์และกิจกรรมการมอบวัสดุอุปกรณ์และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปให้กับลูกค้า

คำว่า “การผลิต” ใช้ในความหมายกว้าง ๆ เพื่อให้ครอบคลุมกิจกรรมทั้งหมดเหล่านี้
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ งานในอุตสาหกรรมการผลิตไม่ได้หมายถึงแค่ “การผลิต” เท่านั้น
แต่ยังรวมถึงงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างผลิตภัณฑ์ เช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์ การจัดการวัตถุดิบ
และการเตรียมการจัดส่ง นี่คือเหตุผลสำคัญที่คำว่า “การจัดการการผลิต” จึงมีความเหมาะสมมากกว่า
ลองพิจารณาอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เป็นตัวอย่างสำคัญในอุตสาหกรรมการผลิต
มีกิจกรรมมากมายที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบรถยนต์ และการจัดเตรียมวัสดุต่าง ๆ ไปจนถึงการตรวจสอบผลิตภัณฑ์
ตลอดจนการขนส่งส่งมอบผลิตภัณฑ์แก่ผู้บริโภคก็เป็นส่วนงานสำคัญเช่นกัน
คำว่า “การจัดการการผลิต” ถูกนำมาใช้เพื่ออธิบายกิจกรรมหลากหลายเหล่านี้ได้ดีกว่า
ด้วยเหตุนี้ “การผลิต” จึงหมายถึงกิจกรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ “การสร้างผลิตภัณฑ์”
แต่ครอบคลุมมากกว่าการสร้างชิ้นงานด้วยเครื่องจักรเพียงอย่างเดียว
การจัดการกระบวนการผลิตตั้งแต่ “การจัดซื้อวัตถุดิบไปจนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์”
เหล่านี้คือลักษณะการจัดการเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้อย่างทันท่วงที
2. มาเรียนรู้ 3 องค์ประกอบในกิจกรรมการผลิตกันเถอะ
อย่าลืมสิ่งนี้นะ!
องค์ประกอบทั้ง 3 ของกิจกรรมการผลิต ได้แก่ QCD (คุณภาพ ต้นทุน และกำหนดการส่งมอบ)
การนำทั้ง 3 องค์ประกอบไปปฏิบัติอย่างสมดุลถือเป็นบทบาทสำคัญของการจัดการการผลิต
มือหนึ่งประกอบ 3 ประการนี้ซึ่งสำคัญเกี่ยวข้องกับกิจกรรมการผลิต ได้แก่ “คุณภาพ” “ต้นทุน” และ “กำหนดการส่งมอบ”
3 สิ่งนี้ถือว่าเป็นหัวใจของ “การผลิต” กล่าวคือ คุณภาพ (Quality) ต้นทุน (Cost)
และ กำหนดการส่งมอบ (Delivery)
ดังนั้นจึงมีเรียกกันว่า “QCD” ซึ่งมาจากลักษณะด้านเฉพาะแต่ละด้าน และเป็นคำที่มีการใช้บ่อย ๆ ในอุตสาหกรรมการผลิตเป็นหลัก
การผลิตไม่ได้หมายถึงแค่การผลิตสิ่งของต่าง ๆ เท่านั้น ลองนึกให้ออกว่าการจัดการการผลิตคืออะไร
“การจัดการการผลิต” คือ การวางแผนและการผลิตผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า (คุณภาพ)
ในช่วงเวลาที่เหมาะสม (กำหนดการส่งมอบ) อย่างมีประสิทธิภาพ (ต้นทุน)
องค์ประกอบทั้ง 3 นี้ ได้แก่ “คุณภาพ” “ต้นทุน” และ “กำหนดการส่งมอบ” (QCD) จะถูกเชื่อมโยงกันในชื่อ “3 องค์ประกอบในการผลิต”
องค์ประกอบทั้ง 3 นี้ ได้แก่ คุณภาพ ต้นทุน และกำหนดการส่งมอบ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของกิจกรรมการผลิต
และอธิบายได้ว่าบางทีในกิจกรรมดำเนินการอาจไม่ชัดเจนว่าระบบจะมีโครงสร้างภายใต้คำว่า
คุณภาพ ต้นทุน และกำหนดการส่งมอบ
ประการแรก “คุณภาพ” หมายถึงประสิทธิภาพและคุณภาพของผลผลิตหรือผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าต้องการ
หากยกตัวอย่างการแสดง คุณภาพจะเกี่ยวข้องกับระดับของการตอบสนองเงื่อนไขและความคุ้มค่าของสินค้า
ยิ่งคุณภาพสูง ความพึงพอใจของลูกค้าก็จะเพิ่มขึ้น
ตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตสินค้าส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ไร้ข้อบกพร่องและมีความแข็งแรงทนทานตามไปด้วย
นี่คือ “คุณภาพ” ที่ผู้ผลิตจำเป็นต้องให้ความสำคัญอย่างมาก
อีกสิ่งหนึ่งคือ “ต้นทุน” หมายถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการผลิตผลิตภัณฑ์

ซึ่งรวมถึงต้นทุนวัสดุ ต้นทุนแรงงาน และต้นทุนการบำรุงรักษาเครื่องจักร (อุปกรณ์การผลิต)
การลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้บริษัทสร้างผลกำไรได้ง่ายขึ้น
ในทางกลับกันต้นทุนที่สูงเกินไปกลับทำให้กำไรลดลงอย่างน่าเสียดาย
และ “กำหนดการส่งมอบ” หมายถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าในเวลาที่ตกลงกันไว้
การไม่สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ได้ตามกำหนดการส่งผลให้ลูกค้าไม่พอใจและสูญเสียความไว้วางใจ
การบริหารกำหนดการส่งมอบจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับสินค้าที่ผลิตและจัดส่งตามคำสั่งผลิตตามคำสั่งซื้อ ซึ่งมักกำหนดระยะเวลาส่งมอบเอาไว้
องค์ประกอบทั้ง 3 นี้ ได้แก่ คุณภาพ ต้นทุน และกำหนดการส่งมอบ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของกิจกรรมการผลิตทั้งหมด
ทำได้ยากเพียงมีบางส่วน ในระบบการจัดการการผลิต การบริหารต้นทุนอย่างเหมาะสมต้องให้ความสอดคล้องไปด้วยกัน
นอกจากนี้ การบริหารการผลิตให้ทันกำหนดการส่งมอบก็อาจส่งผลต่อระดับของคุณภาพ
แม้ QCD จะมีความสำคัญมากในกิจการงาน แต่การสร้างสมดุลระหว่าง QCD ก็เป็นหนึ่งในบทบาทที่สำคัญที่สุดของการจัดการการผลิต
3. มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับคุณภาพกันเถอะ
อย่าลืมสิ่งนี้นะ!
ของไม่ดีหรือของมีตำหนิจะทำไปสู่ความไม่พอใจของลูกค้า เพื่อให้ได้มาซึ่งคุณภาพที่ดี
ทุกแผนกต้องร่วมมือกันตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ไปจนถึงการจัดส่ง
Q ซึ่งเป็นอักษรแรกของ “QCD” ย่อมาจาก “คุณภาพ”
ผลิตภัณฑ์ที่ดีจะต้องตรวจสอบหาความมาตรฐาน “คุณภาพ”
ลูกค้าพึงพอใจมากกว่า
คุณภาพในทางการผลิตนั้นหมายถึงอะไรบ้าง?
เกี่ยวกับเรื่องคุณภาพมี 2 ประเด็นหลัก ได้แก่
- “ฟังก์ชัน” (ประสิทธิภาพ)
- “รูปโฉมภายนอก” (รูปลักษณ์ / ประสิทธิภาพ)
หมายถึงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ว่าตรงกับการใช้งานหรือไม่
ปัญหาเกี่ยวกับฟังก์ชันจะแทนด้วย “ความผิดปกติของการทำงาน”
ทุกครั้งที่เกิดเงื่อนไขข้อจำกัดในการทำงานของชิ้นส่วน ย่อมแสดงถึงคุณภาพที่แย่
กิจกรรมก่อนใช้ทำเครื่องมือประกอบการทำงานไม่ถูกต้อง
ดังนั้นสำหรับงานนี้ ความผิดพลาดในการทำงานจะทำให้เกิดความไม่พอใจของลูกค้าอย่างรวดเร็ว
นำไปสู่การคืนผลิตภัณฑ์และการเคลม (การร้องเรียน)
ตัวต่อมาคือ “รูปลักษณ์”
หมายถึงสภาพของผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าเห็นและการตัดสินจากภายนอก
เช่น รอยร้าว ความประณีตของผลิตภัณฑ์
หากปรากฏสิ่งผิดปกติ เช่น “มีรอยตำหนิ” “สีไม่ตรงตามแบบ” หรือมีรอยประกอบไม่ดี
ก็จะถือว่าเป็น “ผลิตภัณฑ์มีตำหนิ”
ปัญหาเกี่ยวกับรูปโฉมนี้เรียกว่า “ปัญหาผิดลักษณะ”
รูปลักษณ์ที่ดีจะเพิ่มความเชื่อมั่นของผู้ซื้อโดยรวมถึงความพึงพอใจของลูกค้าอีกด้วย
หากรูปโฉมของผลิตภัณฑ์ไม่เป็นที่น่าพอใจ ลูกค้าจะมองว่าสินค้ามีคุณภาพต่ำอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้น คุณภาพไม่ได้จำกัดอยู่เพียงที่ตัวชิ้นงานเท่านั้น
แต่ยังรวมไปถึงกระบวนการทำงานและการนำเสนอในระยะหลังงาน
กล่าวคือทั้ง “ความปลอดภัย” และ “สิ่งแวดล้อม”
ของผลิตภัณฑ์ก็มีความสำคัญเป็นส่วนหนึ่งของคุณภาพเช่นกัน
หากผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐาน หรือมีข้อผิดพลาดส่วนหนึ่งของการใช้งาน
ผลิตภัณฑ์จะเป็นตัวชี้วัดความมีปัญหาภายในด้านคุณภาพได้เช่นกัน

นอกจากนี้ “การบริการ” และ “การรับรองลูกค้า” ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ก็ถูกมองว่าเป็นคุณภาพเช่นกัน
การอธิบายวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกต้อง หรือการตอบคำถามลูกค้าได้ไม่ครบถ้วน ก็เท่ากับว่าคุณภาพที่ไม่ดี
คำว่าคุณภาพแม้จะมีหลายแง่มุม แต่ในอุตสาหกรรมการผลิตแล้วนั้นหมายถึงการบรรลุคุณภาพที่ลูกค้าพึงพอใจ
ไม่ว่าการผลิตจะมีประสิทธิภาพดีเพียงใด หากคุณภาพไม่ดีหรือไม่อาจได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า
ในการจัดการการผลิต ความพยายามในการป้องกันสินค้าให้คงอยู่ทนทาน และป้องกันไม่ให้ผลิตภัณฑ์มีตำหนิถูกจัดส่ง (ส่งออก) ไปยังลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ
ตัวอย่างเช่น การจัดหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพดี การควบคุมเครื่องจักรให้ทำงานอย่างถูกต้อง การบำรุงรักษาเครื่องจักรที่มีปัญหา รวมถึงการตรวจสอบผลิตภัณฑ์อย่างละเอียดก่อนการจัดส่งเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด
ในทางการจัดการการผลิต ปัญหาสินค้ามีตำหนิถือเป็นตัวชี้วัดคุณภาพที่สำคัญ ค้นพบได้จากกระบวนการจัดการต้นทุน
การจัดการการผลิตที่ดีต้องทำงานร่วมกับการจัดซื้อวัตถุดิบ การผลิต และการตรวจสอบคุณภาพ
เนื่องจากในอุตสาหกรรมการผลิต การสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถรักษาระดับคุณภาพตามที่ลูกค้าต้องการได้อย่างมีเป้าหมายร่วมกันเป็นสิ่งสำคัญ
และนี่คือเหตุผลว่าการจัดการการผลิตมีบทบาทสำคัญในทุกขั้นตอน
4. มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับต้นทุนกันเถอะ
อย่าลืมสิ่งนี้นะ!
ต้นทุนคือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการผลิตสินค้า แม้ว่าต้นทุนเป็นสิ่งจำเป็น
แต่ก็ไม่สามารถใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายได้ ถ้าระยะเกิดขึ้นไม่ได้กำตามปรารถนา การจัดการต้นทุนอย่างเหมาะสม
ถัดไปคืออักษร C ใน “QCD” ที่หมายถึง “ต้นทุน”
ไม่ว่าคุณจะผลิตผลิตภัณฑ์ได้มากเพียงใด การผลิตไม่ควรมีค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป
ต้นทุนหมายถึง “ค่าใช้จ่าย” ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในการผลิตสินค้า
ค่าใช้จ่าย คือ รายจ่าย (เงิน) ที่จำเป็นต่อการผลิตสินค้า เช่น ต้นทุนวัตถุดิบและแรงงาน
เพื่อให้บริษัทสามารถขายสินค้านั้นและสร้างกำไรได้ สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือการจัดการต้นทุนเหล่านี้ไม่ให้เกินราคาขาย
ยกตัวอย่างเช่น ร้านเบเกอรี่แห่งหนึ่ง
ในการทำขนมปัง ร้านแห่งหนึ่งจำเป็นต้องซื้อวัตถุดิบ
เช่น แป้ง น้ำตาล เนย ฯลฯ
“ต้นทุนวัตถุดิบ” หากขนมปัง 1 ก้อน ต้องใช้วัตถุดิบ 80 เยน
และร้านขนมปังขายขนมปัง 1 ก้อนในราคา 100 เยน
ผลกำไรจากการขายขนมปัง 1 ก้อนคือ 20 เยน
ประเทศนั้น ร้านขนมปังแห่งหนึ่งใช้แป้ง 130 เยน เนื่องจากราคาวัตถุดิบสูงขึ้น
แต่ขายขนมปังในราคา 120 เยน
ซึ่งในกรณีนี้ ร้านขนมปังจะขาดทุน 10 เยน ต่อก้อน
จึงจำเป็นต้องบริหารจัดการต้นทุนให้ดี
จำไว้อย่างหนึ่งก็คือ
“ต้นทุน” และ “ผลกำไร” สามารถเชื่อมโยงกันได้โดยตรง

ภาวะขาดดุล คือ สถานการณ์ที่ค่าใช้จ่าย (เงินที่บริษัทจ่ายสำหรับต้นทุนต่าง ๆ) สูงกว่ารายได้
(เงินที่บริษัทได้รับจากกิจกรรมการขาย ฯลฯ)
ในทางกลับกัน ภาวะเกินดุล คือ สถานการณ์ที่รายได้สูงกว่าค่าใช้จ่าย
แสดงให้ว่า ภาวะเกินดุลเป็นเรื่องที่ดี
ในการบริหารจัดการการผลิต การจัดการต้นทุนอย่างเหมาะสมถือเป็นบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่ง
ไม่ว่าคุณจะผลิตสินค้าได้เยอะเพียงใด หากต้นทุนสูงเกินไป คุณจะขายสินค้านานมากกว่าที่จะทำกำไร
ในทางกลับกัน ทุกคนสามารถลดต้นทุนได้อย่างเหมาะสม คุณก็สามารถเพิ่มผลกำไรได้
ตัวอย่างหนึ่ง ร้านเบเกอรี่สามารถลดต้นทุนได้โดย
“การใช้แป้งราคาถูก”
“หาวิธีการผลิตขนมปังให้ได้ผลปริมาณมากขึ้นในเวลาน้อย”
หรือ “ใช้เวลาในการประกอบให้น้อยลง”
การจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพด้วยวิธีที่เหมาะสมเหล่านี้ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเพิ่มผลกำไร
5. มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับกำหนดการส่งมอบกันเถอะ
อย่าลืมสิ่งนี้นะ!
กำหนดการส่งมอบคือวันที่สำคัญสำหรับลูกค้า การส่งสินค้าทันการณ์หรือเกินไป
หรือช้ากว่าที่ได้สัญญาไว้ล้วนมีผลไม่ดีตามลำดับ การส่งสินค้าให้ตรงตามกำหนดการส่งมอบ
ส่งผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือของบริษัท
องค์ประกอบสุดท้ายของ “QCD” คือ “D” หมายถึง “กำหนดการส่งมอบ”
นั่นไม่ว่าคุณภาพจะสูงเพียงใด หรือการลดต้นทุนมีประสิทธิภาพเพียงใด
หากคุณไม่สามารถส่งมอบสินค้าได้ตามเวลาที่ลูกค้าต้องการ
ธุรกิจของคุณก็เป็นไปไม่ได้รอด
กำหนดการส่งมอบ หมายถึง “กำหนดเวลาการจัดส่ง” หรือวันที่ลูกค้าต้องได้รับสินค้า
กำหนดการส่งมอบมีความสำคัญมาก
อาทิ วันที่ลูกค้าต้องการรับสินค้า วันที่ผลิตจะต้องส่งงานโรงงาน หรือวันที่ฝ่ายขายจำเป็น
หากการส่งมอบล่าช้าก็เป็นการสร้างผลเสียให้กับบริษัทรวมถึงทำให้ลูกค้าไม่พอใจ
การส่งสินค้าตรงตามกำหนดแสดงถึงการ “สร้างความเชื่อมั่น” ให้กับลูกค้าของเรา
(สัญญากับลูกค้า) และมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทและลูกค้า
กรณีที่การส่งมอบล่าช้าหรือไม่ตรงเวลา
ส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อใจของลูกค้า
และทำให้เกิดความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือของบริษัท
ในบางครั้งอาจมีกำหนดส่งสินค้าเร็วกว่า
กำหนด แต่ถ้าเป็นปัญหาใดก็ตามไม่ว่าระหว่างกำหนดการของลูกค้า ด้วยช่วงเช้า การสั่งซื้อสินค้าที่ถูกต้อง
ก็อาจทำให้ผลิตได้ทันตามกำหนดได้
ในทางกลับกัน เมื่อล่าช้าบริษัทอาจเสียความน่าเชื่อถือและลูกค้าไม่พอใจอีกด้วย
ในทางกลับกัน ล่าช้าก็ไม่ได้เป็นผลดี
การส่งสินค้าตรงตามกำหนดสามารถทำได้โดยการกำหนดกระบวนการและใช้เทคนิคที่กำหนดไว้
เพื่อไม่ให้เกิดการสับสน รวมถึงการทำให้หัวหน้างานหรือพนักงานเข้าใจถึงกำหนดส่งมอบที่ชัดเจน
รับทราบร่วมกันว่าต้องทำงานก่อนกำหนด
การสร้างแผนงานหรือโครงการภายใต้การควบคุมคือหัวใจที่ทำให้การส่งสินค้าเป็นไปได้อย่างราบรื่น
กลับมาเป็นปัญหานานมีผลเสียแก่ลูกค้า

หากการส่งมอบล่าช้าขึ้นบ่อยครั้งต่อเนื่องไป
ลูกค้าอาจสึกเสียความเชื่อมั่นผลิตภัณฑ์กับบริษัท
การสูญเสียความไว้วางใจจากลูกค้าเนื่องจากการส่งล่าช้า
อาจนำไปสู่การตัดความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับลูกค้าในอนาคต
และอาจนำไปสู่การสูญเสียลูกค้ารายอื่นด้วยเช่นกัน
การสูญเสียความไว้วางใจถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับบริษัท
ยิ่งไปกว่านั้น ต้นทุนเพิ่มเติมเกิดจากการจัดส่งล่าช้าก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
การเร่งผลิตเพื่อชดเชยการส่งล่าช้าอาจทำให้ไม่เป็นไปตามมาตรฐานหรือมีความเสี่ยงเครื่องจักรเพิ่ม
นอกจากนี้ การจัดเตรียมการจัดส่งแบบเร่งด่วน อาจทำให้ต้นทุนที่โลจิสติกส์เพิ่มขึ้นได้เช่นกัน
หากจัดการไม่จำเป็นอย่างด่วนเกินไป
เหล่านี้ล้วนส่งผลให้ค่าใช้จ่ายโดยรวมบริษัทสูงขึ้น
และส่งผลกระทบเชิงลบต่อการดำเนินงานในที่สุด
การบริหารการส่งมอบยังเป็นภารกิจสำคัญอีกด้าน
เช่น การวางกำหนดคำสั่งจัดซื้อ
และการวางแผนการผลิตแบบเคลื่อนเวลาไว้
เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อคำสั่งการส่งมอบของลูกค้าหากมีเหตุเปลี่ยนแปลง
เช่น วัตถุดิบขาดแคลน เป็นต้น
การส่งมอบตรงตามกำหนดเวลาไม่เพียงแต่เป็นปัจจัยต่อการรักษาความสัมพันธ์และความไว้วางใจลูกค้าเท่านั้น
แต่ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญในการบริหารจัดการขั้นภาคสังคมด้วย
6. การจัดการการผลิตเป็นไปเพื่อการรักษาไว้ซึ่ง QCD
อย่าลืมสิ่งนี้นะ!
QCD ถือข้อได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัท
ความร่วมมือระหว่างแผนกต่าง ๆ เป็นสิ่งสำคัญในการรักษา QCD
หน่วยงานทั้งหมดทำงานในฐานะศูนย์ควบคุม เพื่อเชื่อมโยงสิ่งเหล่านั้นเข้าด้วยกันคือฝ่ายจัดการการผลิต
“QCD” เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการผลิต
พิสูจน์ถึงผลของการทำงานแต่ละส่วนได้อย่างต่อเนื่อง
หากคุณภาพไม่ดี ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น หรือกำหนดการส่งมอบล่าช้า
ทั้งหมดนี้ถือเป็นปัญหาสำคัญอย่างยิ่งในฐานะศูนย์ควบคุมเพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการเหล่านั้นดำเนินไปอย่างถูกต้อง
วัตถุประสงค์หลักของการจัดการการผลิต คือ การตรวจสอบในแง่ของผลิตภัณฑ์ตรงตามข้อกำหนดด้านคุณภาพของลูกค้า
ต้นทุนที่เหมาะสม และส่งมอบตรงตามกำหนดเวลา
การจัดการผลิตยังรวมถึงการจัดการควบคุมกิจกรรมการผลิตทั้งหมดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านั้น
การจัดการการผลิตเป็นบทบาทเพื่อให้แน่ใจว่าคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด
ตัวอย่างเช่น การตรวจสอบวัตถุดิบและชิ้นส่วนที่ใช้ในโรงงานให้เป็นไปตามคุณภาพที่กำหนดหรือไม่
การตรวจสอบคุณภาพชิ้นส่วนสำเร็จรูปหรือวัตถุดิบไปจนถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป
การจัดส่ง และการดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านคุณภาพ
กิจกรรมเหล่านี้ถูกเรียกรวมกันว่า “การควบคุมคุณภาพ”
การจัดการการผลิตไม่เพียงแต่ช่วยให้ผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยให้ต้นทุนอยู่ในระดับที่เหมาะสม
โดยการระบุจุดที่ต้นทุนแฝงรวมว่าต้นทุนทั้งหมดเป็นจำนวนที่มีผลกระทบ
และดำเนินมาตรการปรับปรุงเพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
ตัวอย่างเช่น การตรวจสอบว่าการบริโภควัตถุดิบมากเกินไปหรือไม่
งานที่เป็นไปอย่างไรประสิทธิภาพการหรือไม่
และดำเนินงานให้แก้ไขปัญหาและปรับปรุงกิจกรรมการผลิตให้เหมาะสม
และในท้ายที่สุด การจัดการการผลิตเพื่อบริหารกำหนดการส่งสินค้าที่ตรงนั้น
ก็เป็นบทบาทสำคัญที่จะได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า
การจัดการกำหนดการส่งอย่างเหมาะสมช่วยให้ผลิตภัณฑ์ถูกส่งมอบตามสัญญา
และส่งผลต่อภาพลักษณ์ของบริษัท
หากส่งมอบล่าช้าจะสร้างความเสียหายแก่ชื่อเสียงของบริษัท
แต่หากมีปัญหาเกิดขึ้นก็ต้องมีการแก้ไขทันที

กิจกรรมเหล่านี้เรียกว่า “การควบคุมกำหนดการส่งมอบ”
บทบาทที่สำคัญที่สุดของการจัดการการผลิต คือ การสร้างสมดุลที่เหมาะสมระหว่างองค์ประกอบทั้ง 3 ของ QCD
การสร้างสมดุลหมายถึงการป้องกันหรือลดปัญหาที่อาจเกิดจากการแสวงหาคุณภาพที่มากเกินไป
และการปล่อยให้ต้นทุนเหมาะสมน้อยลงจนขาดความพยายามที่จะส่งมอบสินค้าตรงเวลา
ตัวอย่างเช่น แม้คุณภาพจะสำคัญเพียงใดก็ตาม
แต่ต้องไม่ละเลยการจัดการกำหนดการส่งมอบ
คุณภาพสินค้าและบริการที่ดีจะมีความหมายก็ต่อเมื่อช่วยให้ส่งมอบได้ทันเวลาต่อคำสั่งซื้อของลูกค้า
แต่ในความเป็นจริง การปรับปรุงคุณภาพเพียงอย่างเดียวไม่ได้เพียงพอ
การจัดการการส่งมอบช่วยให้กลับโดยรวมในภาพลักษณ์ทางธุรกิจ และสร้างสมดุลให้ไปพร้อมกับกิจกรรมการผลิตของบริษัทจะดำเนินไปอย่างราบรื่น
เพื่อสร้างสมดุลของ QCD ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในบริษัทมีความสำคัญยิ่ง
เช่น ฝ่ายขาย เลขานุการ ฝ่ายออกแบบการวางแผนการผลิต เป็นต้น
การส่งสินค้าตรงเวลาต้องมีการตรวจสอบความพร้อมของกระบวนการผลิต
และเกี่ยวข้องกับราบรื่นของทั้งทีมงาน
และการสื่อสารข้อมูลที่จำเป็น
เช่น การยืนยันกำหนดการส่งมอบ
การมีส่วนร่วมของทีมเพื่อให้ไปในวันเวลาที่กำหนดได้
การจัดการการจัดซื้อวัตถุดิบต้องสามารถทำงานร่วมกันเพื่อให้กิจกรรมการผลิตดำเนินไปอย่างราบรื่น
เช่น จะสามารถเพิ่มจำนวนเป็นไปตามกำหนด
เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อคำสั่งการส่งมอบของลูกค้า
รวมไปถึงต้องมีการปรับปรุงคุณภาพได้อย่างไร
หรือชดเชยภาวะงานที่ล่าช้า
เพื่อให้การกำหนดการส่งมอบได้อย่างไว้วางใจ